เคล็ดลับที่ทำให้รวย ภายในไม่กี่ปี (1)?
มันคงเป็นเรื่องที่น่าละอาย เป็นอย่างมาก ที่เราจะปล่อยให้คนรุ่นใหม่
ลองผิดลองถูกในเรื่องความสำเร็จ อยู่อีก ในเมื่อเราก็รู้อยู่แล้ว ว่า
หลักการมันเป็นอย่างไรบ้าง ?
"แล้วเราจะทำอย่างไร ดีล่ะ""เปิดสอน อบรม เปิดคอร์ส เป็นโค้ช
เก็บเงิน แล้วก็ รวย รวย รวย " ไปก่อน ส่วนเด็กไปวัดดวงเอา ???????
เราจะเห็นว่า ในยุคนี้มีโค้ช มีครู มีอาจารย์ เกิดขึ้นมากมาย
บางคนไปอบรมกับอาจารย์ได้ไม่กี่วัน คืออบรมสามวันจบหลักสูตร
แต่งตั้งตนเองเป็นครู เป็นโค้ช เป็นอาจารย์ เปิดคอร์สอบรม ?
คือคนไหนใจกล้า และหน้าสวย รูปหล่อหรือกล้าเอาหน้าตัวเองออกจอ
แล้วก็บอกสรรพคุณว่า ฉันประสบความสำเร็จแล้วนะ รู้แล้วนะ
ฉันเรียนมาจากอาจารย์แล้วนะ สามวัน !วันนี้วันที่สี่ มาเปิดคอร์ส อบรม
เก็บเงินนักเรียนได้เลย โอ้ สุดยอด ??
รู้งี้ ไม่ต้องเสียเงิน ส่งลูกไปเรียน หมดเงินไปไม่รู้กี่ล้าน ?
มาอบรมกับอาจารย์พวกนี้ สามวัน ออกมาหาเงินได้เลยยอดเยี่ยมที่สุด ?
สังคมเราทุกวันนี้ ต้องแข่งขัน เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด เงิน
อยู่ในตลาดมากมาย ที่ต้องแข่งขันกัน กอบโกย ใครฉลาด มีความรู้
มีเคล็ดลับ มีกลยุทธ มีวิธีการ ย่อมได้เปรียบ และต้องรีบตามกระแส
เพราะถ้าเลยเวลา หมดเวลา หมดกระแส อิ่มตัว เงินก็หยุดไหลมา?
การไขว่คว้าหาความรู้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แล้วมันผิดตรงไหน ?
ที่ใครสักคน ไปเรียนกับอาจารย์สักคน แล้วมาเป็นอาจารย์
ซึ่งถ้าเขาทำได้ ก็เป็น สิ่งที่ดี และน่าชื่นชม ?
เช่นเดียวกับ การที่เราเปิดทีวีดูข่าว แล้วผู้เสนอข่าวหรือพิธีกร ก็มาอ่าน
หนังสือพิมพ์ให้เราฟัง เพราะอะไร เพราะเราไม่อ่านเอง หรือสังคมไทย
เราไม่เคยปลูกฝังให้คนไทยเชื่อในการค้นคว้าหาความรู้ด้วยการอ่าน
สังคมไทยเรา ปลูกฝังมาตั้งแต่สมัยโบราณ ให้ยอมฟัง ให้ครูอ่านและสอน
ครูก็กางหนังสือ แล้วสอนตามตำรา สังคมไทยจึงติดนิสัย ที่ไม่รักการอ่าน ต้องให้
ใครสักคนอ่านให้ฟัง คือมันง่ายดี เหมือนมีคนคอยป้อนอาหารใส่ปาก ถ้าไม่ป้อน
กินไม่เป็น ?
วิธีการของครูไทยคือ นี่นะ ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวครูอ่านให้ฟัง?
พวกเธอพยายาม จำเอาใว้นะ ถ้าไม่ฟังไม่เชื่อแต่โดยดี คือเด็กเลว ?
แต่วิธีสอนของคนทั้งโลก เขาสอนว่า รู้มั้ยทำไมประเทศนี้ จึงเป็นแบบนี้ (กะลา)?
นักเรียน ไปค้นหา อ่านจากตำรามาว่าทำไม แล้วมาถกกันว่า มันเป็นเช่นนี้เพราะ
อะไร ทุกคนก็ต้องไปหาค้นคว้าคำว่า (กะลาแลนด์) มันหมายความว่าอย่างไร ?
ทำไมจึงมีคนเรียกเช่นนั้น หรือพูดเช่นนั้น มันเพราะอะไร ?
สอนแบบไม่สอน สอนแบบให้ไปอ่าน ไปค้นคว้า หาความรู้ ซึ่งแน่นอนว่า
ย่อมรู้ได้ดีลึกซึ้งกว่า แต่ของเรา พยายามสอนให้ฟัง ให้เชื่อในสิ่งที่อยาก
ให้เชื่อ สิ่งไหนไม่อยากให้รู้ อย่าไปแหลมรู้เชียว เดี๋ยวตีตาย ?
ดังนั้นคนไทยจึงติดนิสัย ที่เชื่อฟัง ไม่ดื้อ เชื่อง่าย ฟังง่าย ใครอ่านหนังสือพิมพ์
ให้ฟังได้ก็เก่งแล้ว เป็นสุดยอดพิธีกรแล้ว แล้ยิ่งใครพูดอังกฤษได้ เป็นเทพไปเลย?
เพราะคนไทยคือคนดี คนน่ารัก หัวอ่อน เชื่อฟัง ใครสอนอะไรก็เชื่อ อย่างง่ายๆ
ที่เขียนอย่างนั้น อย่างนี้ สรุปมาเลยว่า จะบอกอะไร ?
"เออ จะได้สรุปเสียทีว่า เคล็ดลับ นั้นมันคืออะไร จะบอกอะไร ว่ามา" ?
ก็แค่กำเงิน สักสองสามร้อยไปร้านหนังสือ แล้วหาซื้อหนังสือ ปรัชญา
แนวพัฒนาตนเองหรือที่เรียกว่า How to มาอ่านสักเล่ม เพียงเท่านั้น ?
เพราะคนที่สอนพวกคุณมา ก็อาศัยไปซื้อหนังสือเหล่านี้มาอ่าน
แล้วมาเปิดคอร์สอนคุณด้วยราคาตั้งแต่หมื่นถึงสามหมื่น ก็แค่นั้น !
มันคือช่องว่าง ที่ต้องไปต่อว่า พ่อแม่ ครูอาจารย์ ว่าทำไมไม่บ่มเพาะนิสัย
รักการอ่านให้หนู ให้ผม เพราะอยู่ในประเทศนี้ แค่อ่านมากกว่า รู้มากกว่า
ก็ทำเงินได้อย่างมหาศาล ทำไม ทำไม พ่อแม่ ครูอาจารย์ไม่สอนให้ทำให้อ่าน
เคยมีคำพูดที่ว่า "อ่านมากรู้มาก" จากรายการอะไรสักอย่าง นั่นคือความจริง
ที่มีคนพยายามทำ แต่เข็ญไม่ขึ้น สังคมก็ยังคงถูกมอมเมาด้วยการฟังเพียงอย่าง
เดียว ง่ายสะดวกสบาย ?
หลักการสำหรับการฟังกับการอ่านที่จริงดูเหมือนไม่ต่างกัน แต่ผลมันมันต่าง
กัน การฟังอย่างเดียว มันเหมือนมีเสียงเข้ามาที่หู แล้วไหลสู่สมองประมวลผลแบบ
หยาบๆ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางความคิดมากมายอะไร สมองจึงจดจำข้อมูล
ได้น้อยกว่า หยาบกว่าการอ่าน แต่ถ้าอ่านต้องผ่านจากสายตา แปลงตัวหนังสือเป็นภาพ
เป็นเรื่องราว เข้าสมอง ถ้าจะพูดให้ง่ายเข้าก็ต้องว่า ทำด้วยตัวเอง คือดูด้วยสายตาตัวเอง
สมองจึงเข้าใจให้ความสำคัญในรายละเอียดมากกว่า ดังมีคำกล่าวที่ว่าอยากรู้อะไร "ต้อง
เห็นด้วยตาตนเอง" ประมาณนั้น นี่คือความต่าง ระหว่างการฟังกับการอ่าน เหมือนดั่ง
คำกล่าวที่ว่า ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา คือไม่เข้าสมอง หรือเข้าก็น้อยมาก ?





เห็นมั้ยว่า การอ่านสำคัญมากแค่ไหน ดังนั้นใครคือนักอ่าน คนนั้นรู้มากกว่าแน่นอน
และไม่ต้องเสียเงินมากมาย ไปลงคอร์สเพื่อฟังเขาบรรยาย ?
แต่มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะการอ่านหนังสือ จำนวนมหาศาลเหล่านั้น
ต้องใช้เวลามาก มากๆ และยากที่จะเข้าใจมัน อย่างลึกซึ้ง ?
และมันยากซะกว่าไปเรียนในมหาวิทยาลัยสี่ปี ที่คุณเคยเรียนมาเสียอีก
ดังนั้น มันจะต้องใช้ความพยายาม ต้องใช้ความตั้งใจ และต้องอ่านให้
ลึกซึ้ง แทบจะทุกเวลา เหมือนสมัยเราเรียนหนังสือ คือกินนอนอยู่กับ
ตำรา อ่านแทบจะตลอดเวลา ?
ซึ่งถ้านิสัยเราไม่ชอบหนังสือแนวนี้ อ่านไม่กี่หน้าก็เบื่อเพราะไม่สนุกและ
ยอมโยนทิ้ง เพราะมันเข้าใจยาก ยิ่งคนแปล แปลออกมาอย่างงงๆ ยิ่ง
ยากกว่าภาษาอังกฤษที่เป็นต้นฉบับ ?
ดังนั้น มันต้องขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ??
ความพยายาม บางครั้งแต่ละเล่มเกือบพันหน้า และอาจต้องอ่านถึงเจ็ดรอบ
ซึ่งคนใจไม่รักจริงๆ ยากที่จะทำได้ แต่ถ้าคุณทำได้ ก็เหมือนคุณจบปริญญา
แต่ถ้าทำไม่ไหว ก็อย่างที่ว่า ?
คือยอมเสียเงินไปลงคอร์ส อบรม เพื่อให้อาจารย์เขาสอน ?
แต่ก็ต้องเลือกเอาก็แล้วกันว่า จะเลือกอาจารย์แบบไหน และต้อง
ขึ้นกับว่า คุณตั้งใจที่จะเรียนมากแค่ไหน ทุกอย่างเหมือนสมัยที่เรียน มีทั้ง
คนที่สอบได้และสอบไม่ได้ อย่างเช่น ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา
ก็แค่ผ่านๆไปเท่านั้นบางคนประสบความสำเร็จ บางคนล้มเหลว
ทุกอย่างจริงๆแล้วขึ้นอยู่ที่ตัวเอง???



ส่วนเรื่องที่ว่า อ่านแล้วจะรวยได้อย่างนั้นหรือ ?
ต้องขอบอกว่า ยังไม่ใช่ มันไม่ใช่แค่นั้น เพียงแต่
เราต้องทำ ต้องคิด และขยันที่จะทำงาน และมีความ
ตั้งใจเฉลียวฉลาด ในการทำงาน ทุ่มเทมากน้อยแค่ไหน
มีองค์ประกอบอีกมากมาย เดี๋ยวมีต่อภาคต่อไปจะมาเล่าให้ฟัง ? >>>>>>>
NAPOLEON HIN
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น