" การรักษาที่ดีที่สุด คือการไม่รักษา "
อยากไปหาอากาศบริสุทธิ์ ที่สวนสาธารณะ สักหน่อย ไปเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ ก็ยังดี มนุษย์เราต้องหาที่หาทางสูดดมเอาอากาศดีดี เข้าร่างกายบ้าง เพื่อฟอกปอดฟอกเลือด ถ้าเราได้รับออกซิเจนน้อย ในระหว่างนอน เชื่อว่าตื่นมา จะเพลียเหมือนไม่ได้นอน จะมึนหัวปวดหัว บางครั้ง ไปหาหมอ หมอก็จ่ายแต่ยา เพราะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ตรวจจ่ายยา ให้ยาไปรักษาอาการที่ปลายเหตุ คือปวดหัว มึนหัวอ่อนเพลีย จะมีหมอสักกี่คนที่นั่งซักประวัติ คุณทำงานอะไร วันๆคุณทำอะไรบ้าง นอนกี่ทุ่ม ก่อนนอนดื่มน้ำมั้ย กินอาหารมั้ย นอนหลับมั้ย ตื่นบ่อยมั้ย นอนกรนมั้ย ทุกอย่างที่ถาม คือการค้นหาสาเหตุทั้งสิ้น แต่ยากที่หมอส่วนใหญ่จะทำ เพราะมันเสียเวลามาก ส่วนใหญ่วินิจฉัยผิดถูกชั่ง จ่ายยา ตบตูดกลับบ้านไป ให้ยามันทำงาน ?
บางครั้งการไปหาหมอ ก็ไม่ได้หมายความว่า หมอทุกคนจะวินิจฉัยได้ตรงจุด ตรงประเด็น เพราะบางครั้งหมอบางคนก็เหมือนเราๆ มีอารมณ์ดีบ้าง เบื่อบ้าง เซ็งบ้าง ยิ่งถ้ารีบๆร้อนๆอย่างพวกประกันสังคมหรือบัตรทอง ให้เวลาสำหรับคนไข้เพียง3-5นาทีไม่เกิน นั่นหมายความว่า ตั้งแต่เดินเข้าไปหย่อนก้น รีบกดเวลากันเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าจะรีบร้อนกันไปถึงไหน อาจเป็นเพราะต้องทำเวลา เพราะคนไข้มากมายเหลือเกิน แสดงว่าคนป่วยมีมากจริงๆทุกวันนี้ และคนป่วยก็ไม่ใช่คนแก่อย่างเดียว เดี๋ยวนี้ตั้งแต่สามสิบสี่สิบ คนวัยทำงานก็เริ่มป่วยกันแล้ว นี่มันจะเหมือนพวกไก่ซีพีเข้าไปทุกทีคนสมัยนี้ คือได้เวลาป่วย ไม่แข็งแรงเหมือนบรรพบุรุษ คนสมัยก่อน อยู่กับธรรมชาติ อาหารการกินก็ธรรมชาติ ไม่มีสารเคมี ไม่แปรรูป ร่างกาย ขับถ่ายเผาผลาญและนำไปใช้ได้อย่างหมดสิ้น แต่ทุกวันนี้ สังคมเปลี่ยนไป ความเป็นอยู่เรื่องอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ดีขึ้น ในขณะที่ผู้คนก็ไม่มีเวลามาปรุงอาหารด้วยตนเองแบบธรรมชาติ จึงต้องบริโภคแต่อาหารสำเร็จรูป และนั่นย่อมหมายถึงร่างกายก็อาจจะไม่เข้าใจว่า สิ่งนี้คืออะไร มันไม่รู้จักและไม่รู้จะกำจัดได้อย่างไร ร่างกายจึงยอมปล่อยมันไป ไม่เผาผลาญ ในที่สุด มันตกค้างอยู่ในร่างกาย สะสม จนมากเกินไปและในที่สุด นำมาซึ่ง โรค นั่นเอง !
ดังนั้น เวลา คือสิ่งสำคัญ ผมไม่ชอบที่จะต้องไปเข้ารับการรักษา กับหมอประกันสังคม หรือโรงพยาบาลของรัฐ เพราะผมรู้ดีว่า เวลาพวกเขามีน้อย ผมเลือกที่จะเข้าโรงพยาบาลเอกชนแต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่สุดแพงแสนหฤโหด สมัยก่อนอาจจะดีกว่าสมัยนี้ด้วยซ้ำ เพราะเงื่อนไขเรื่องเวลานั่นเอง หมอมีเวลาให้น้อย หมอไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องวินิจฉัย หมอเก่งเรื่องใช้ยา ยาคืออาวุธสำคัญของหมอ ต่อให้เก่งขนาดไหน แต่มีเวลาน้อย ผมไม่เชื่อว่าจะวินิจฉัยได้ดี ผมเคยหูอื้อและมีเสียงวี๊ดตลอดเวลา ไปหาหมอ หมอคนแรกรักษามาหนึ่งสัปดาห์ ไม่หาย ตรวจแล้วให้ยา ไปหาหมอที่สอง หมอบอกประสาทหูของคุณเสื่อม มันจะต้องรักษาภายในเวลาที่รวดเร็วอาจจะภายในสองสามวัน หรือน้อยกว่านั้น ถ้าป็นอาทิตย์แล้วยากที่จะหาย และคุณจะต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิต เอายานี่ไปกิน ถ้าไม่หายก็จะไม่หายตลอดไป !
เอายามากินจนหมด ผ่านไปสองอาทิตย์ ไม่หาย ไปซื้อยาตัวนั้นมาเพิ่ม เพราะยาพวกนี้ เราสามารถตรวจสอบจากgoogleได้ ว่ามันคือยาอะไร รักษาส่วนไหน มีผลกระทบอย่างไร หาอ่านศึกษาได้เลย ในที่สุด ไม่หาย พอกันที ไม่ไปหาหมอคนไหนแล้ว เพราะก็คงไม่ต่างกัน ขนาดหมอคนที่สองนั้น หมอเฉพาะทางและเก่งที่สุดแล้ว ยังเอาไม่อยู่ !
แต่คนเราอย่าลดละความพยายาม คิดและศึกษา หาข้อมูล อ่านตำราหาวิธี ในที่สุดวันหนึ่งเพื่อนที่เป็นหมอมาหาแต่เป็นหมอรักษาหมานะสัตวแพทย์ บอกพี่เอานี่ไปกิน อะไร อ่ะ ?
น้ำ น้ำเรานี่แหละ แต่ที่หมอให้ดื่มคือน้ำเรียงโมเลกุล น้ำปั่นปรับโครงสร้าง เพื่อทำให้โมเลกุลเล็กลง ทำนองนั้น ตกลงลองดื่มไปสักอาทิตย์สองอาทิตย์ ผลเหรอ หาย !
มันหายจากอาการหูอื้อ หูดับหูเสื่อมได้อย่างไง ผมพอเข้าใจแล้ว แต่หมอที่เชี่ยวชาญเรื่องหู พึ่งแต่ยา ถ้าไม่หาย ก็คือไม่หาย ยอมรับสภาพมันไป อยู่กับการอื้อหึ่งไปชั่วชีวิต !
และนี่คือสิ่งที่จะบอกว่า บางครั้งเราก็ต้องช่วยตัวเอง คิดค้นและปฎิบัติตน ให้สู้กับโรคภัยหรือปกป้อง ป้องกันตนเองจากโรค จะได้รบกวนคุณหมอและยาให้น้อยที่สุด เท่าที่จะน้อยได้ ?
ผมเชื่ออย่างนี้ครับ " การรักษาที่ดีที่สุดคือการไม่รักษา " ?
เพราะถ้าเรารักษากันที่ปลายเหตุ ยา ยา ยา (บริษัทยารวย)เราก็จะมีผู้ป่วยมากขึ้น มากขึ้น ตราบใดที่เราไม่คิดหาวิธีหลีกเลี่ยงหรือป้องกัน วิธีที่สาธารณสุขควรจะทำ คือ ให้ความรู้กับประชาชน ให้หลีกเลี่ยงป้องกัน ที่จะป่วย ด้วยการ รู้จักกิน รู้จักหลีกเลี่ยง สิ่งไหนดี สิ่งไหนร้าย ควรจะรู้ เบาหวาน ความดัน หัวใจ โรคร้ายมากมาย ล้วนเกิดมาจากการกิน การกินที่ไม่ยับยั้ง กินอย่างตะกละตะกลาม ยิ่งเดี๋ยวนี้ร้านอาหารใช้วิธีเหมารวม ที่เรียกว่า บุฟเฟต์ คนกินก็พยายามที่จะกินให้คุ้ม กินจนเกินงาม กินจนเกินที่ร่างกายจะรับไหว สุดท้าย ไตพัง ตับพัง เบาหวาน ความดัน หัวใจ มาเป็นบุฟเฟต์เช่นกัน !!
แต่ถ้าเราหลีกเลี่ยง รู้จักกินอาหารอย่างถูกวิธี ไม่กินมากจนเกินไป อาหารพวกแป้งน้ำตาล เครื่องดื่ม ชา กาแฟ ของมัน ของทอด เนื้อสัตว์ใหญ่ เช่นเนื้อวัว ควาย ไขมันก็ควรเลี่ยงที่จะกิน อาหารทอด ที่สำคัญ น่ำตาล เรียนรู้ว่า เครื่องดื่มที่ขายในตลาด เช่น กาแฟ หนึ่งแก้ว มีน้ำตาลเท่าไร มนุษย์เราสามารถกินได้วันละแค่ 8ช้อนชาต่อวัน กินกาแฟเย็นแก้วเดียว ก็เท่ากับกินน้ำตาลเข้าไปเกือบยี่สิบช้อน ไหนจะนมหรือครีมเทียม ซึ่งทำมาจากไขมันผสมสารเคมี อีมัลซิไฟเออร์ ปรุงแต่ง เพื่อทำให้น้ำกับไขมัน แปลงร่างเป็นครีมเทียม หรือนมเทียม เพื่อเพิ่มความมันให้กาแฟ หรือเครื่องดื่มต่างๆ ทั้งหมดนี้ รวมแล้ว ร่างกายมนุษย์ ไม่มีทางที่จะทนทานได้ หรือขจัดเผาผลาญมันด้วยธรรมชาติได้ และนั่นคือสาเหตุของบุฟเฟต์โรค คือเบาหวาน ความดัน หัวใจ แถมเก๊า ให้ไปด้วย และถ้ารวมบุหรี่เข้าไปด้วย แน่นอนว่า ถ้าไม่มะเร็ง ก็จะเกิดโรค หัวใจขาดเลือด เพราะบุหรี่ คือสาเหตุที่จะทำให้เกิดลิ่มเลือดไปอุดอัน เส้นเลือดแข็ง ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ สุดท้าย กล้ามเนื้อหัวใจตาย !
หลายสิ่งหลายอย่างที่กล่าวมาดูน่ากลัว นะ แต่ก็ง่ายนิดเดียว ถ้าเราคิดที่จะหลีกเลี่ยงและป้องกัน ก็ด้วยการรู้เท่าทันว่า สิ่งไหนควรปฎิบัติอย่างไร อะไรควรกิน มากน้อยอย่างไร อาหาร แป้ง น้ำตาล ชา กาแฟ เครื่องดื่ม น้ำอัดลม อาหารแปรรูป กินได้แต่ต้องรู้จักปริมาณ ผักสด ผลไม้ ดื่มได้กินได้มีประโยชน์ น้ำ คือสิ่งที่สำคัญ ควรดื่มให้ได้วันละสองลิตรเป็นอย่างต่ำ การออกกำลังกาย คือสิ่งที่มีประโยชน์ ทำให้โรคต่างๆหมดไป โดยไม่ต้องใช้ยา ถ้าทำได้แค่นี้ ไม่ยากเลย ทำเพียงแค่นี้ ก็ไม่ต้องไเบียดเสียดกัน ต่อคิวกันในโรงพยาบาลตั้งแต่ตีสี่ นี่แหละ คือสิ่งที่รัฐควรที่จะทำ "ป้องกัน "ไม่ใช่รักษาที่ปลายเหตุ หาทางป้องกัน ก่อนที่จะเป็น เพราะ "การรักษา ที่ดีที่สุด คือการไม่ต้องรักษา " นั่นเอง ?
NAPOLEON HIN .
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น