รักชาติ อย่าง ขาดสติ ?

ในวงสนทนาวันหนึ่ง ทุกคนถูกถามว่า แต่ละคน มีความคิดเห็นทางการเมืองอย่างไร คำตอบที่ได้ คือ แต่ละคนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ความเชื่อที่แตกแยกกันออกไป สรุปได้เท่ากับว่า ปัญหาที่เราได้คือ ทุกคนมีความจริงไม่เหมือนกัน ความเชื่อย่อมไม่เหมือนกัน ?

สาเหตุเพราะ อ่านหนังสือพิมพ์คนละฉบับ เสพสื่อหาความรู้คนละช่องทาง นั่นคือที่มา แห่งความเชื่อความแตกต่าง บิดเบี้ยว สับสนแตกต่างกันออกไป เหมือนดูหนังชื่อเรื่องเดียวกัน แต่คนสร้างคนละเวอร์ชั่น ผู้กำกับ คนเขียนบท คนละคนกัน แต่ตั้งชื่อเหมือนกัน สุดท้ายความสับสน ความเชื่อ แง่มุม ความแตกต่าง ทุกคนมีไม่เหมือนกัน มันจึงไม่แปลก ที่ความคิดความเห็น ความเชื่อความแตกต่าง มุมมองต่างกันอย่างสิ้นเชิง ?

ทำไมมนุษย์ จะแยกแยะผิดถูกชั่วดี ถี่ห่างไม่ได้ ถ้าเราดูหนังเรื่องเดียวกัน อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน เพราะมนุษย์ย่อมมีสติที่จะแยกแยะผิดถูกชั่วดีได้ ไม่ต่างกัน แต่นี่คือไม่ใช่ ทุกคนดูหนังชื่อเดียวกัน แต่ถูกสร้างจากคนที่ต่างกัน เขียนบทต่างกัน บิดเบือนข้อมูล พระเอก นางเอก ผู้ร้าย มันกลับหัวกลับหาง จนคนดูสับสน ไม่รู้ว่า เรื่องราวของแต่ละคน มันต่างกันไป สรุปสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้คือ ความแตกแยก คิดเห็นไม่เหมือนกัน อย่างสิ้นเชิง ? 

ปัญหา ของมันก็มีเช่นนี้ และความเชื่ออย่างไร้เดียงสา ของคนดู ก็ไม่รู้ว่า จะเชื่อไปจนตายหรือไม่ เพราะเชื่อไปแล้ว เชื่อจนหมดใจ ?

ไม่รู้ว่า คนที่จ้างผู้กำกับ จ้างคนเขียนบท เขาต้องการอะไร มีเจตนาอย่างไร เป้าหมายเขา ต้องการอย่างไร ? 

ทำไม เขาต้องทำอย่างนั้น ทำไมเขาต้องการให้ผู้คน รับรู้ไม่เหมือนกัน เชื่อไม่เหมือนกัน ทำไมไม่ทำความจริงให้ปรากฎ เขาปล่อยให้ความเชื่อของคนในสังคม อยู่กันแบบมั่วๆ สับสน ผิดๆ เพื่ออะไร ? 

แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร? เราต้องยอมรับก่อนว่า ที่ผู้คนมากมาย ในทุกอณูเนื้อของสังคม มีความคิดเห็นที่แตกต่าง แตกแยก และความเชื่อที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นเพราะข้อมูลที่ได้รับมันต่างกัน ? 

บางคนแม้จะมีความรู้ มีการศึกษา ลอยหน้าลอยตา อธิบายน้ำไหลไฟดับ โดยไม่ลืมตา ราวกับว่า สิ่งที่ตนได้พบได้เห็นมานั้น มันคือเนื้อหาข้อมูล ที่ชัดเจนถูกต้องดีงามที่สุดแล้ว เชื่ออย่างสนิทใจ และแสดงความเชื่อออกไปสู่สังคม อย่างหน้าชื่นตาบาน อย่างไม่อายใคร ที่ไม่อาย เพราะหลงเชื่อว่าสิ่งที่ตนนำออกมาแสดงนั้น คือความจริง ทั้งๆที่ ความจริงที่ตนเสพมานั้น อาจมีความจริงอยู่ในเนื้อเรื่อง เพียงสิบหรือยี่สิบเปอร์เซ็นเท่านั้น แต่กล้าที่จะพูดกล้าที่จะแสดงความไร้เดียงสาออกมา อย่างหน้าไม่อาย และหลงยิ้มระรื่น ราวกับว่า รู้ดีรู้หมดแล้ว ? 

น่าสงสาร น่าขยะแขยง ที่คนประเภทนี้ มีอยู่มากมายในสังคม อยากเด่น อยากดังอยากอวดอ้าง แสดงความรู้ ทั้งๆที่รู้ไม่จริง อ่านหนังสือ อ่านผ่านๆ บางคนอ่านเพียงพาดหัว ยังกล้าที่จะแสดงภูมิรู้ ทั้งๆที่รู้ไม่จริง ?

และคนประเภทนี้นี่แหละ พวกรู้ไม่จริง แต่หน้าด้านกล้าแสดง หลงตัวเองแบบนี้นี่แหละ ที่ทำให้สังคมเละเทะเข้าไปใหญ่ คนกลุ่มนี้ อาจสร้างความเชื่อที่ผิดๆออกไปในวงกว้างขึ้น ขยายออกไป และนำมาซึ่งความเสียหายต่อบ้านเมือง คนพวกนี้คือหนึ่งในส่วนพวกทำลายชาติ ทำลายบ้านเมือง และทำลายสังคมอย่างไม่รู็ตัว? 

ถ้าเวลาผ่านไปอีก20ปีข้างหน้า ความจริงปรากฎ ประวัติศาสตร์ถูกชำระสะสาง และแก้ไข สิ่งที่บิดเบือน ผิดพลาด เรื่องไม่จริงถูกขจัดออกไปจากความเชื่อ แล้วคนเหล่านี้ รับผิดชอบอะไร ต่อบ้านเมืองต่อสังคมได้บ้าง?

มันก็เพียงแค่เงียบไป หรือไม่ก็โมเม เห็นมั้ยว่าแล้ว ? 

พวกมันควรทำพันธะสัญญา หรือไม่ก็ให้มันบอกลูกบอกหลาน ว่าวันนี้ มันมีความเชื่อ จุดยืนทางการเมืองอย่างไร ? 

เพื่ออะไร ? ได้อะไร ? 

เพื่อจะได้ให้ลูกหลาน ของพวกมันเอง ด่า สาปแช่ง ไม่ว่า20ปีข้างหน้า คนเหล่านี้ จะเป็นเถ้าถ่าน ตายจากไป หรือยังแก่ชรานอนรอความตาย อย่างน้อย มันควรจะได้รับผลของการกระทำในวันนี้ ว่าพวกมัน ทำลายชาติ ทำลายบ้านเมืองด้วยมือของพวกมัน ด้วยความโง่ ความปัญญาอ่อนของพวกมัน มันจึงจะสาสม !

หรืออย่างน้อยถ้าวันนี้ มันมั่นใจว่าสิ่งที่มันเชื่อ คือความถูกต้อง ให้มันสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเลยว่า หากแม้นมันคิดว่า สิ่งที่มันเชื่อ มันมั่นใจ ให้มันสาบานเลย ถ้ามันหลงเชื่อในสิ่งผิดสิ่งที่ไม่จริง ให้โคตรของมันมีอันเป็นไปอย่าได้เจริญ มีแต่ภัยพิบัต แต่ถ้ามันเชื่อ ในสิ่งที่ถูกต้องดีงามแล้วไซร้ ขอให้โคตรเง่ามันมีแต่สิ่งดีดีเจริญรุ่งเรื่อง ถามว่า พวกมันกล้าสาบานท้าทายมั้ย ถ้ามั่นใจว่า สิ่งที่มันเชื่อ คือความจริง?

ทำไมต้องทำขนาดนี้ ? 

เพราะการที่บ้านเมืองมีปัญหา ขัดแย้งเกลียดชังกันขนาดนี้ มาเป็นสิบๆปี เสียหายล่มจม มันเป็นเพราะความเชื่อ ที่แตกต่างกันแบบนี้ ? บางทีพวกมันอาจจะรู้อยู่แก่ใจก็ได้ว่า สิ่งไหนจริง สิ่งไหนเท็จ ทั้งๆที่รู้แต่มันก็จะเอาชนะ เพราะความเกลียดชัง มันกล้าที่จะบูชาสิ่งที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่จริง มันกล้าบูชาสิ่งที่มันรู้ทั้งรู้ว่าชั่ว จิตใจมันทำด้วยอะไร ที่มันกล้าบูชาสิ่งชั่ว สิ่งเท็จ สิ่งบิดเบือน ทำลายชาติขายชาติ ได้อย่างหน้าตาเฉย ทั้งๆที่รู้ว่าผิด  ? 

เชื่อเถอะ ประเทศนี้ เสียหาย เพราะความเชื่อที่งมงาย ของคนไร้คุณภาพ ไร้ศิลธรรม หวังเอาชนะฝ่ายที่ตนเกลียดชัง ไม่ว่าจะด้วยวิธีสกปรกสร้างความเสียหายต่อบ้านเมือง มันก็ยอมทำ ทั้งๆที่อ้างว่า มีความรู้ ถ้าคนที่ไม่มีความรู้แล้วถูกหลอกให้หลงเชื่ออันนั้นยังน่าให้อภ้ย แต่มีความรู้แต่ยอมก้มหัวให้เขาหลอก ไม่รู็ว่าจะเรียกหรือเปรียบกับตัวอะไร เช่นกัน  ?

ลองถามตัวเอง ดูซิว่า วันนี้ คุณมีความเชื่อ เอนเอียงไปอยู่ฝ่ายไหน ความจริง มันมีอยู่ข้างเดียว รับรองได้ว่า เมื่อสภาพบ้านเมือง มันเป็นอย่างนี้ คนถูกทำให้เชื่อเป็นสองฝ่าย ความหมายก็คือ แล้วฝ่ายใดถูกฝ่ายใดผิดล่ะ และคุณอยู่ฝ่ายไหน มั่นใจแล้วหรือ ว่ายืนอยู่ฝ่ายที่ถูก ?

อย่าพูดว่า การเมืองย่อมมีความเห็นที่แตกต่างกันได้ ?

ใช่ มีความเห็นแตกต่างกันได้ แต่นั่นแค่ความเห็น ไม่ใช่แบบนี้ ถ้าเราดูกีฬาเช่นมวย ฟุตบอล เราดูพร้อมกันดูเกมส์เดียวกัน ความคิดเห็นอาจแตกต่างมุมมองกันได้บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับ ในกติกา และผลการตัดสิน มันแยกแยะได้ 

แต่ถ้าดูด้วยเรื่องบิดเบือน คือเอาเทปการแข่งขัน คนละไฟต์ มาหลอกคนดู แล้วทำให้เชื่อ อย่างนี้ มันไม่ใช่ความเห็นต่างกัน มันพูดกันไม่รู้เรื่อง บ้านเมืองเรามันเป็นเช่นนี้ มันอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้คือคนดูถูกต้ม คือเอาความเท็จ ความบิดเบือน เอาเรื่องไม่จริงพูดง่ายๆคือคนละเรื่องเลย มาล้างสมอง ?

คนในสังคม ถูกหลอก ถูกต้ม ถูกทำให้เชื่อ เอาเรื่องเท็จ เอาเรื่องไม่จริง บิดเบือน ทำให้หลงเชื่อ มาหลอกต้มคนดู เพื่อให้เชื่อ ทุกวันนี้ เราอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เรามาลองคิดกันง่ายๆว่า คนระดับนักวิชาการ แบ่งออกเป็นสองฝ่าย คนเป็นหมอ คนมีการศึกษา ทุกสถาบันทุกองค์กร จนมาถึงชาวบ้าน ถูกปั่นหัวให้เชื่อและแบ่งเป็นสองข้าง แต่ความจริงมันมีอยู่อย่างเดียว ถามว่า มันน่าละอายมั้ย ที่ประชากรของประเทศนี้ มันโง่เง่าไปครึ่งประเทศอย่างนี้ ?


เพราะความเชื่อที่ทั้งสองฝ่ายท้าทายกัน ต่างฝ่ายต่างมั่นใจว่าความเชื่อของ ของตนถูกต้อง ต่างฝ่ายเชื่อว่า ฝ่ายตนคือฝ่ายธรรมะ อีกฝ่ายคือ อธรรม ฝ่ายตนคือฝ่ายรักชาติ อีกฝ่ายคือพวกทำลายชาติ แล้วฝ่ายไหน คือฝ่ายที่ยืนอยู่ข้างความถูกต้องจริงๆล่ะ ดังนั้น ถ้าความจริงปรากฎมันต้องมีฝ่ายที่โง่อยู่ข้างหนึ่งเพราะมันต้องมีฝายถูกและก็ต้องมีฝ่ายผิด แต่ฝ่ายไหนล่ะที่ผิด  นี่คือเหตุผลที่ชี้ให้เห็นว่า ประเทศนี้ ยังมีคนไร้เดียงสาทางการเมืองอยู่ครึ่งประเทศ และคนกลุ่มนี้ กำลังทำลายชาติ โดยไม่รู้สึกตัว ประวัติศาสตร์ คงไม่ให้อภัยคนกลุ่มนี้ ลูกหลานคงทนกราบไหว้ไม่ได้ มีแต่จะสาปแช่ง ให้ตกนรกหมกไหม้ให้สาสม ในความโง่เง่าของคนกลุ่มนี้ ไปอีกนานนับร้อยปีพันปี แล้วจะแสดงความรักชาติแบบขาดสติ อย่างนี้ไปเพื่ออะไร !

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กำเนิด SODA

"คนที่ยอมแพ้ไม่เคยชนะ คนชนะไม่เคยยอมแพ้ "

Knight Rider (kitt)