ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก่อน ดีมั้ย ?




ผมพยายามคิดค้นหาคำตอบว่า ปัญหาของบ้านเมือง ที่มันแตกแยก โกรธเกลียด ชิงชังกัน มันเพราะอะไร ต้นตอของปัญหาคืออะไร และทำไม ? และจะแก้ไขได้อย่างไร?

ทำไมหลายคนจึงเป็นเช่นนั้น  ?

หลายฝ่าย หลายวงการ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรใดใด ใหญ่เล็ก ขนาดไหน เห็นมีแต่ความขัดข้องหมองใจ จนไม่อยากที่จะมองหน้ากัน  เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง  เพื่อนรักกันขนาดไหน ครูบาอาจารย์ ลูกศิษย์ หมอ นักวิชาการ นักกฎหมาย ทั้งระดับสูงระดับใหญ่ หมอ ทหาร ตำรวจ ดารา สื่อสารมวลชน ?


ใครทำอะไรให้ หรือว่าเป็นโรคติดต่อ ใช่จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ ?

เพราะมันเหมือนเชื้อหวัด เชื้อไวรัส เชื้อโรคที่ติดต่อแพร่กระจาย ไปสู่วงกว้าง อย่างยากที่จะควบคุม

เชื้อร้ายนี้ ไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรดี จะเรียกว่า เชื้อแตกแยก เชื้อแตกต่าง เชื้อเกลียดชัง เชื้อชั่ว เชื้อเชื่อหรือเชื้อรักชาติ เชื้อคลั่งชาติ อะไรก็ว่ากันไปสุดแล้วแต่ ที่จะเรียก?

แต่ว่าถ้ามันเกิดติดเข้าไปแล้ว มันยากที่จะรักษา เพราะมันจะติดและฝัง เข้าไปสู่ก้นบึ้งของหัวใจ (หมายความว่า มันฝังสู่จิตใต้สำนึกสมองส่วนความทรงจำและความเชื่อความศรัทธา)

และนี่มันคือปัญหาใหญ่ ปัญหาที่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ถ้าเป็นสมัยโบราณ อาจทำให้ถึงกับสิ้นชาติได้เลยด้วยซ้ำ แต่ยุคนี้สมัยนี้ คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่มันก็ทำให้ความเจริญรุ่งเรืองของคนในชาติ ชงักงัน ส่งผลให้เศรษฐกิจออนเปลี้ยเพลียแรง เหมือนคนอมโรค เหมือนต่างชาติเขาขนานนามให้ประเทศเราว่า "คนขี้โรคแห่งเอเชีย " น่าอายมั้ย น่าอายนะ แล้วทำไมไม่อาย ?



สาเหตุเพราะการเมืองไม่นิ่ง และไม่มีเสถียรภาพ เศรษฐกิจล้าหลัง เจ็บป่วยตลอด สามวันดี สี่วันไข้ เดี๋ยวทะเลาะกัน เดี๋ยวฉีกรัฐธรรมนูญ เดี๋ยวเขียนใหม่ ตามแต่ใจคนที่เข้ามาคุมอำนาจ จนคนต่างชาติ เขาตามไม่ทัน ไม่รู้ว่าจุดยืนอยู่ตรงไหน อะไรคือความมั่นคง ที่เขามาลงทุนแล้ว จะปลอดภัย นี่คือสาเหตุที่เขาเบื่อหน่าย และย้ายฐานการลงทุนไปสู่ที่อื่น ที่ไหนก็ได้ ที่มีความมั่นคงนิ่งและมีจุดยืนมากกว่า ไม่กลับไปกลับมาแบบนี้ เขาถือว่า เหมือนเอาไม้หลักมาปักกับขี้เลน มันย่อมไม่มั่นคง ดังนั้น เปิดตูดไปที่อื่น  !

ทีนี้เรามาดูต้นเหตุและ วิธีแก้ไขกันดีกว่า ก่อนอื่นก็ต้องบอกก่อนว่า ผมไม่โง่ที่จะเข้าข้างฝ่ายไหน เพราะผมถือว่า ผมอยู่แบบไม่ต้องมีฝ่ายใดมาครอบงำหรือ ไม่โง่พอที่จะเป็นสมุนฝ่ายใด เพราะเข้าข้างฝ่ายไหน อีกฝ่ายก็ต้องเกลียดชัง จริงมั้ย ?

ดังนั้น รักทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายนั้น ฝ่ายนี้ ฝ่ายโน้น ฝ่ายไหนๆ ก็คนไทยด้วยกัน ดังนั้น เรารักทุกฝ่ายถูกต้องดีแล้ว และมีหน้าที่ ทำให้ทุกฝ่ายดีกัน รักกันดีกว่ามั้ย ?

เพียงแต่กำลังใช้ความคิดว่า มันมีสาเหตุมาจากอะไร ?

คนเราลองว่ามีความตั้งใจดี มีความคิดดี เห็นอกเห็นใจทุกฝ่าย และมีความเข้าใจ และให้ความยุติธรรมกับทั้งสองฝ่าย อย่างเท่าเทียมกัน ปัญหามันย่อมแก้ไขง่ายๆ สบายๆ ไม่เห็นว่ามันจะยากตรงไหน ?

แต่ที่ผ่านมานับสิบปี มันไม่มีคนจริงใจ ในการแก้ไขปัญหา มันมีแต่คนที่เสแสร้งแกล้งปล่อยให้มันขัดแย้งต่อไป โดยปากก็พ่นคำว่า อยากให้ปรองดอง เราจะปรองดอง ถามว่าทำไม คนเหล่านั้น จึงพูดและทำแบบนั้น เพราะเขายังยอมให้ดีกันปรองดองกันรักกันไม่ได้ ?

ทำไม ? ที่ไหน ไม่จริง ?

จริงๆ แล้ว เขากำลังหาวิธีทำให้คนปรองดองกัน จริงๆ ?

จริงหรือครับ เชื่อเขาหรือครับ ?

สิบปีผ่านไป ยังหาวิธีไม่ได้อีกหรือครับ ที่จะทำให้คนมันกลับมาปรองดองกัน ?

ถ้าคุณ ใช้เวลานับสิบปี กับภารกิจแค่นี้ยังทำไม่ได้ ยังทำไม่สำเร็จ มันก็ไม่ใช่คนแล้ว ?

 หมายถึงไม่ใช่คนไทยด้วยกันแล้ว  แล้วเป็นอะไรล่ะ ?

"อะไรก็ได้ ที่อยากจะเป็น "  บ้า เอ้ย  !

ก่อนอื่นถามก่อน ว่า เวลาทำให้คนมันแตกแยกกัน เกลียดชังกัน มันทำยังงไง ?

" อือ เอ่อ ๆ   ก็ใช้  สะสะ สื่อ ปลุกระดม สร้างความเท็จ โจมตีฝ่ายตรงข้าม "
เอามันทั้งวัน ทั้งคืน เช้า สาย บ่ายเย็น คือ24ชั่วโมงก็ว่าได้ เอางั้นเลย ? เออ

สาเหตุมันเป็นเช่นนี้ นี่เอง ใช้สื่อทุกรูปแบบ ล้างสมอง มิน่ามันแหลกเหลว ไปทุกวงการ ไม่ว่าที่ไหน
เปิดสื่อ ช่องนั้นด่าฝ่ายนี้ ช่องนี้ ด่าฝ่ายนั้น ทำไมมันถึงจะไม่บ้าล่ะ คนดีดี กลายเป็นผีดิบไปหมด ขนาด
คนระดับหมงระดับหมอ อาจง อาจารย์ เชื่อหมด เชื่อจนขอบตาดำ เพราะเฝ้าติดตามการ ล้างสมองทั้งคืน

หลายคนยังไม่เหมือนคนบ้า ที่ยังเก็บอาการอยู่ น้ำลายยังไม่ฟูมปาก เพราะยังหลงเหลือความเป็นคนอยู่บ้าง ไม่งั้นเราจะเห็น มนุษย์ผีดิบพวกนี้ เดินแยกเขี้ยวยิงฟัน ตาขวางไปทำงาน เห็นใครใส่เสื้อสีตรงข้าม โดดเข้ากัดคอ งับขา ฉีกร่าง ดูดเลือด กันตามท้องถนน เป็นที่น่าทนทุกขเวทนา ยังกับอยู่ในแดนนรกประมาณนั้น   ?

ทีนี้เราต้องย้อนกลับมาพิจารณาว่า อะไรทำให้คนมีความรู้ มีการศึกษาขนาดนั้น เชื่อหรือถูกล้างสมองได้เพียงนั้น ?  เชื่อว่า การที่นักล้างสมองสามารถทำได้ขนาดนั้น ก็เพราะเขารู้จุดอ่อน จุดอ่อนไหว จุดที่สะกิดใจ จุดที่ยอมไม่ได้ อย่างเช่นชาติ เช่นศาสนา หรือสถาบัน เพราะสามสิ่งนั้น ใครมาลบหลู่ไม่ได้ นักล้างสมอง จึงใช้วิธีนำเอาสิ่งที่เคารพบูชาทั้งสาม มาเป็นจุดที่ทำให้ คนฟังคนดู มีอารมณ์ร่วม และชี้ไปที่ฝ่ายที่ตนต้องการทำลาย นี่คือต้นเหตุ ต้นตอ ที่นักปลุกระดม ใช้วิธีนี้ โดยนำสิ่งเคารพบูชา มาอ้าง เพื่อใช้ทำลายฝ่ายที่ตนต้องการ นั่นเอง ?

เราจะเห็นว่า เมื่อฝังความเชื่อเข้าไปแล้ว แม้เวลาผ่านไป นับสิบปี เชื้อความเชื่อเหล่านั้น ยังไม่เจือจางลงแม้แต่น้อย ขนาดเจ้าของเชื้อคนเผยแพร่ เจ้าของลัทธิ คนปลุกระดม นักล้างสมอง ติดคุกติดตารางไปหลายคน คนพวกนี้ ก็ยังบ้าและไร้สติและไม่หาย ?

และมันชี้ให้เห็นว่า ระดับความรู้ ไม่ว่าจะสูงขนาดไหน มันไม่ทำให้ใครฉลาดไปทุกเรื่อง เราจะเห็นว่า ดร หมอ อาจารย์ นักกฎหมาย นักวิชาการ วิศวกร ดารา แม้แต่นักบวช ทุกๆคนต่าง "ไร้เดียงสา ทางการเมือง " ได้เหมือนกันหมด นับประสาอะไรกับ ประชาชนคนธรรมดา ที่จะถูกโน้มน้าวล้างสมอง ให้เชื่อและหลงผิด ตกเป็นเครื่องมือของ นักปลุกระดม นักล้างสมอง ได้แบบไม่ยากเย็น นี่คือสิ่งที่อันตรายมาก และมันเกิดขึ้นแล้ว และยังไม่สามารถเยียวยาให้หายได้ด้วยซ้ำไป ?

แต่ถ้าเราจะรักษา ให้คนเหล่านี้หายขาดได้ (บางคนอาจจะอาย) นะ ว่าฉันระดับนี้ จะบอกว่าฉันโง่ ฉันไม่ยอม ฉันไม่เชื่อ ฉัน ดร นะ ฉัน หมอนะ ฉัน วิศวกร ฉันรู้ ฉันแยกแยะได้ว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว

" ครับ  ครับ ท่านฉลาด ท่านไม่โง่หรอกครับ " ท่านคือ ดร ท่านคือผู้เชี่ยวชาญ เก่งทุกอย่าง เพียงแต่คนอื่น มันผิดเอง ท่านไม่ผิด ท่านทำถูกต้อง ทั้งหมดแล้ว ?

คนพวกนี้ อย่าไปบอกว่าเขาโง่ เขาถูกหลอก หรือว่าเขาแยกแยะผิดถูกชั่วดีไม่ได้ ไม่มีทางยอม หัวแข็ง ตายแล้ว ยังไม่ยอมรับเลย หลงยศ หลงตำแหน่ง หลงอำนาจ นี่คือสังคมไทย ต้องค่อยรักษา อย่าให้ท่านรู้ตัวว่า ตัวเองโง่ ตัวเองบ้า อย่าให้รู้ว่ามีคนหลอกท่าน ท่านดี ท่านเก่ง ท่านถูกต้องหมดแหละ อย่าขัดใจ

อย่าว่าแต่คนระดับข้างบนที่กล่าวมาเลย แค่พวกชาวบ้านธรรมดาๆ เพื่อนฝูงญาติ พี่น้อง ตาสีตาสา ไปบอกมันว่า เฮ้ยที่ผ่านมา พวกแกถูกเขาหลอก พวกแกถูกสื่อ ช่องนั้น ช่องนี้ สีนั้น สีนี้ มันหลอก มันต้มจนเปื่อย เชื่อมั้ย ไม่เชื่อ ไม่จริง จะบ้าเหรอ ไม่รักชาติหรือไง มีคนคิดทำลายชาติ รู้มั้ย ?

เอาล่ะ เมื่อรู้ว่า บอกอย่างไง มันก็ไม่เชื่อไม่ฟังกัน เอาง่ายๆ นะว่า วันนี้ เราต้องถามตัวเราเองว่า ทุกวันนี้ เรารู้เรื่องการเมืองมากแค่นี้ ที่จะมาฝักไฝ่ทางวการเมือง บางคนชื่อนักการเมืองในประเทศตัวเอง ยังไม่รู้จักเลย ไม่รู้ว่า มีการศึกษาขนาดไหนมีประวัติความเป็นมาอย่างไร หรือระบบระบอบการเมืองมีที่มาอย่างไร ระบอบประชาธิปไตย คืออะไร ประวัติศาสตร์มีความเป็นมาอย่างไร ไม่มีความรู้ทั้งนั้น แต่อยากจะมีส่วนร่วม พูดง่ายๆว่า อยากจะเผือกเรื่องการเมือง ว่างั้นเถอะ ?

ถามว่า คนเราในเมื่อมันไม่รู้เรื่อง แล้วมันเข้ามาเผือก มันจะวุ่นวายมั้ย หลายคนบอกว่า เขาก็รณรงค์ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการเมืองไม่ใช่เหรอ ผมว่าไม่ใช่นะ ?

การที่เราไม่รู้เรื่อง แต่มาเผือก มายุ่ง มาวุ่นวาย มารวมตัวกันออกมาขับไล่คนนั้นคนนี้ โดยการชักจูงของนักปลุกระดม มันจะถูกต้องมั้ย ?

เราไม่รู้ เราไร้เดียงสา ทางการเมือง มันก็เหมือนคนตาบอด ได้แต่ฟังเขาอย่างเดียว ฟังแล้วเชื่อทันที ข้อมูลที่เข้าหูถูกต้องหรือไม่ เราไม่ได้กลั่นกรอง อ้าวแล้วจะมีส่วนร่วมเราจะทำอย่างไร ?

จริงๆแล้ว การที่ประชาชน ทุกสาขาอาชีพ ต้องเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองนั้น ก็คือการเลือกคนที่เขามีความรู้เรื่องการเมือง ไปเป็นหูเป็นตา เป็นปากให้เรา นั่นคือการเลือกตั้ง สส หรือตัวแทนของประชาชนอย่างเราๆเท่านั้น เราไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเข้ามา เย้วๆ ตัดสินปัญหา ด้วยตัวเอง ?

ใครบ้างที่ต้อง ทำแบบนั้น ?

" ทุกคน ทุกสาขา อาชีพ "  ไม่ว่าคุณ จะเป็นใคร ระดับไหน จะเป็น หมอ วิศกร ทหาร ตำรวย ทนาย นักธุรกิจ พระ ดารา หรือชาวไร่ ชาวนา คือพวกเรา ไม่รู้เรื่องการเมือง เราไร้เดียงสาทางการเมือง เราทุกคนจึงต้องเลือก มืออาชีพ ที่เขารู้ดีกว่าเรา ไปทำงานการเมืองแทนพวกเรา ?

"แล้วพวกเราจะทำอะไรล่ะ อ้าว "  ถามได้ " คุณมีอาชีพอะไร ล่ะ เป็นหมอ ก็ทำหน้าที่หมอ เป็นวิศวกร ก็ทำหน้าที่ วิศวกร เป็นอาจารย์ เป็นครู นักวิชาการ  ทหาร ตำรวจ ทนาย ผู้พิพากษา อัยการ ดารา พระ ชาวไร่ชาวนา ทุกคนมีหน้า ของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น พวกคุณก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ให้เรียบร้อยแค่นั้น ทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่ความเรียบร้อย ?

แต่ที่ผ่านมา มันไม่ใช่อย่างนั้น ทุกคนอยากเผือก เรื่องการเมือง ทั้งๆที่ไม่รู้เรื่องการเมืองแม้แต่น้อย บางคนยังสะกดไม่เป็นด้วยซ้ำไปคำว่า ประชาธิปไตยเขียนอย่างไร ?

บางคนหน้าที่ตัวเอง ไม่ทำ แต่ที่ไม่ใช่หน้าที่ อยากจะทำ ?

เราลองมาคิดง่ายๆว่า เช้าขึ้นมา หมอ แทนที่จะอาบน้ำอาบท่า เตรียมตัวเรื่องงานรักษา วางแผนการรักษา แต่เอาเวลามาคิดเรื่องการเมือง ?

เรามาลองคิดว่า ครู อาจารย์ เช้าขึ้นมา แทนที่จะคิดวางแผนการสอน แต่เอาเวลา เอาสมองมาคิดเรื่องการเมือง ?

นักกฎหมาย ทนาย อัยการ ผู้พิพากษา ข้าราชการ ทหา ตำรวจ ทุกคนต่างไม่คิดวางแผนที่จะทำหน้าที่ของตัวเอง แต่มาฝักใฝ่ในเรื่องการเมือง ถามว่า แล้วมันจะเจริญ มั้ย ถ้าทำอย่างนั้น ???

แม้แต่พระ แทนที่จะสละแล้วซึ่งกิเลส ผิดชอบชั่วดีรู้หมด แต่จิตใจฝักใฝ่แต่เรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง

ทั้งหมดที่กล่าวมาทั้งต้นเหตุ ทั้งสาเหตุ และทางแก้ไข ก็เพียงแค่เรามีหน้าที่อะไร ก็กลับไปทำอย่างนั้น ทุกอย่างก็จะสงบ แต่ที่ผ่านมานับสิบปี ทุกสาขาวิชาชีพกระสันทะยานอยาก เข้ามาเผือกเรื่องการเมือง ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ของตนเอง ก็แค่นั้น !!




NAPOLEON HIN.










ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กำเนิด SODA

"คนที่ยอมแพ้ไม่เคยชนะ คนชนะไม่เคยยอมแพ้ "

Knight Rider (kitt)