ความสำเร็จของลูก คือความพอใจของพ่อแม่ ?



      พ่อแม่ทุกคนต่างรักลูกของตน ดั่งแก้วตาดวงใจ ทุกคนต่างปราถนาดี อยากให้ลูกของตน
เป็นคนดี ให้มีการศึกษาที่ดี และมีคุณภาพ เติบโตขึ้นมา เป็นเจ้าคนนายคน ตามประสาความเชื่อ
แบบไทยไทย ที่ฝังหัวมานาน ?

     ฝังหัวมานาน ว่า อยากให้ลูกเป็นเจ้าคนนายคน อาชีพที่เป็นเจ้าคนนายคนมีอะไรบ้าง ?
อาชีพเจ้าคนนายคน ก็คืออาชีพรับราชการนั่นแหละตามประสาคนไทย  ?

     การได้รับราชการ ความหมายมันก็คือการได้เป็น เจ้าคนนายคน เพราะมียศ มีตำแหน่ง
ที่ฝังหัวกันมานาน ว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีอภิสิทธิ์เหนือคนธรรมดา มีสวัสดิการ
พ่อแม่รักษาพยายาบาลฟรี มีคนดูแลตลอดชีวิต มีแม้กระทั่งหลังจากที่เลิกทำงาน เกษียณราชการ
ไปแล้ว ยังมีบำเน็จบำนาญ เลี้ยงดูกันไปจนตาย ?

   แต่ถ้าเป็นชาวบ้าน ชาวไร่ชาวนา พ่อค้านักธุรกิจ หรือคนค้าขาย แม่ค้าหมู พ่อค้าไก่ พวกนี้ มีหน้าที่
เสียภาษี เป็นขี้ข้า เป็นไพร่ เป็นกุลีเป็นสามัญชน ?

    นั่นคือความคิดเก่าๆ เมื่อครั้งในอดีตเมื่อเกือบร้อยปีที่ผ่านมา ?

คนธรรมดาสามัญชน หรือชาวบ้าน ไม่กล้าเทียบชั้น กับคนที่เป็นข้าราชการได้ เวลาไปติดต่อ
กับราชการ ชาวบ้านต้องพินอบพิเทา อ่อนน้อมถ่อมตน และเกรงกลัวคนเหล่านั้นมาก  คนเหล่านั้นก็ได้
ใจ เมื่อมีคนยกยอปอปั้น คนเหล่านั้น ก็ยิ่งหลงตัวเองคิดว่าตนคือ เจ้าคนนายคน ?

   ต่อมาเมื่อประเทศเจริญขึ้น ชาวบ้านเริ่มพัฒนา มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีฐานะที่ดีขึ้น และแซงหน้าข้าราชการ เรื่องรายได้ขึ้นไป ชาวบ้านธรรมดา พ่อค้า นักธุรกิจ เมื่อมีฐานะดีกว่า จึงเทียบชั้นกับข้าราชการได้  ข้าราชการจึงเลือกที่จะกดคนบางคน โดยดูจากฐานะ ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา ตาสีตาสา ก็ยังกดเหมือนไพร่เหมือนขี้ข้า ไม่ต่างจากเดิม แต่ถ้าเป็นพ่อค้า นักธุรกิจ ถือว่าอยู่ในระดับเดียวกัน อันนี้คบเป็นเพื่อนได้ หรือถ้าฐานะดีมากๆ ข้าราชการบางคนก็ยอมเป็นขี้ข้าไปเลย เป็นซะอย่างนั้น ?

  ทีนี้หันมามาดูความสำเร็จทางด้านการศึกษา ของคนเป็นลูก เมื่อสมัยก่อนหรือาจจะสมัยนี้ การศึกษา ที่ฝังหัวกันมานานแสนนาน ที่ว่าลูกต้องเรียนโรงเรียนของรัฐ ถ้าสอบเข้าไม่ได้โรงเรียนประจำจังหวัด ถือว่าใช้ไม่ได้ จริงๆค่านิยม อันนี้มีมานาน ?

ตั้งแต่ชั้นประถม ต้องถูกปลูกฝังว่า ต้องเรียนโรงเรียนของรัฐบาล ตัดหัวเกรียน พอเข้ามัธยมต้องสอบเข้าโรงเรียน ประจำจังหวัด ให้ได้ ถ้าใครไม่ได้ถือว่าอ่อน อย่างเด็กที่เรียนโรงเรียนเอกชน ถือว่าอ่อน นั่นคือความคิดของคนไทยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ?

พอเข้าระดับอุดมศึกษา ก็ต้องตั้งเป้าเอาใว้ว่า ลูกฉันต้องเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐให้ได้ อันดับแรกก็ต้องจุฬาหรือธรรมศาสตร์ หรือมหิดล เกษตรศาสตร์ เชียงใหม่ อะไรว่ากัน ถ้าติดหนึ่งสองสามสี่ที่กล่าวมา พ่อแม่ คุยไปสามบ้านเจ็ดบ้าน ว่าลูกประสบความสำเร็จ คนไหนเข้ามหาลัยอันดับต้นๆของประเทศที่กล่าวมาไม่ได้ ถือว่าไม่เก่ง คุยโม้อวดใครไม่ได้ ยิ่งไปเรียนราม หรือมหาลับเอกชน กลายเป็นเด็กไม่เอาไหน อาย ไม่กล้าบอกญาติเพื่อนฝูงพ่อแม่ นี่คือค่านิยมที่มีติดกับสังคมไทยมาช้านาน ?

และเมื่อกลายเป็นมหาลัยเทพ อันดับต้นๆเข้าไปแล้ว ใครก็อยากเข้า ก็ต้องเป็นเทพมันซะเลย ใครที่อยากเข้ามหาลัยเทพ ต้องเตรียมตัวติวแต่เนิ่นๆ คือตั้งแต่ม.ปลาย ถ้าใครเข้าเตรียมได้ก็เท่ากับแหย่ขาเข้ามหาลัยเทพตั้งครึ่งเข้าไปแล้ว เรื่องนี้ไม่มีใครสงสัยว่า มันด้วยเหตุผลอะไร มีวิธีอย่างไร ที่สอนให้เข้ามหาลัยเทพได้ "งง "บางคนบอกว่า ก็คนออกข้อสอบที่จะเข้ามหาลัยเทพ คือครูเตรียมอุดม อันนี้ไม่รู้ว่าจริงมั้ย อันนี้ก็ถือว่าได้เปรียบ ถ้าจริง  ?

เอาล่ะไม่ว่ามันจะเป็นมหาลัยเทพหรือไม่อย่างไรชั่งมัน แต่มันก็ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ที่มีลูกได้เรียนมหาลัยเทพทั้งหลายหน้าบาน ที่จะเอามาโม้อวดลูกได้  เมื่อต้องเจอกันในงานสังคมต่างๆ เพราะบางครั้งคนถาม ก็สาระแนอยากรู้ซะด้วยว่า ลูกเรียนที่ไหน อยู่ปีอะไร คณะอะไร จบหรือยัง ถ้าจบแล้วทำงานที่ไหน เงินเดือนเท่าไร อุ้ย อยากรู้ไปหมด ???

ดังนั้นมันก็เลยเป็นมหกรรม แห่งความรักและริษยากันในใจบ้างอย่างช่วยไม่ได้  บางคนถามเพราะอยากรู้ แต่พอรู้เขาคุยโม้ว่าลูกชั้น เรียนจุฬานะธรรมศาสตร์นะ คนฟังดันทนฟังแล้วแสลงใจ เพราะลูกตัวเองไม่ได้อย่างลูกเขา เออ แล้วไปถามทำไม มันจึงเกิดการเปรียบเทียบ อันนี้น่าสงสาร ดันไปอยากรู้เขา พอเขาคุยออกมา ดีเกินกว่าตน ก็ทนไม่ไหวเข้าไปอีก เออเอาซิ นี่แหละสังคม ?

พ่อแม่ที่หน้าบานที่สุดคือพ่อแม่ที่ลูกเรียนหมอ และถ้าเป็นหมอจุฬาธรรมศาสตร์ด้วยล่ะก็ หน้าจะบานเป็นพิเศษ ขอให้ได้ถาม ใครอย่าเห่อแหลมถามมาเชียวนะ คราวนี้ล่ะ จ้อไม่หยุด ร่ายยาวจนคนถามตาเขียว ก็ดันไปถามเปิดช่องให้เขาเอง คราวนี้ล่ะต้องทนฟังเขาโม้ เสียดแทงใจตัวเอง จนเจ็บจี๊ดๆ เมื่อมาเปรียบเทียบกับลูกตัวเอง สังคมไทยมันเป็นอย่างนี้ เพราะเราไปตั้งค่านิยมเอาใว้ ?

บางคนลูกไม่เคยอยากเป็นเลยหมอ แต่เพราะพ่อแม่อยากเหลือเกิน อยากจนเด็กต้องตามใจ พ่อแม่ตั้งความหวังเอาใว้สูงมาก พ่อแม่รู้บ้างมั้ยกับความยากลำบาก มันไม่ได้สนุกหรือง่ายๆ ถ้าใจไม่รัก ทั้งการเรียน การทำงาน มันไม่ได้สนุกสนานเหมือนอย่างที่เอามาคุยโม้กับเพื่อนๆญาติๆ ตามงานสังคม บางครั้งเด็กต้องถูกส่งไปทำงาน เมื่อเรียนจบ ตามชนบท ไม่รู้ว่าชีวิตความเป็นอยู่จะลำบากขนาดไหน  ?

พ่อแม่ส่วนมากไม่รู้ รู้แต่ว่า สมใจ ที่ลูกได้เป็นหมอ หมอ หมอ เพราะมันเชิดหน้าชูใจ ให้หายอยาก แต่จะมีใครรู้บ้างว่า เวลาเด็กเขาทำงาน มันเหนื่อยขนาดไหน หรือพวกวิศวะ รู้มั้ยเขาทำงานกัน หามรุ่งหามค่ำ ไม่ได้หลับไม่ได้นอน พ่อแม่บางคนไม่รู้หรอกว่า มันเหนื่อยและลำบากขนาดไหน คือมันน่าเบื่อแทนคนเป็นลูก บางครั้งก็ต้องตามใจคนเป็นพ่อแม่ ส่วนคนเป็นพ่อแม่ ก็น่าเห็นใจ เพราะต้องตามใจสังคม เพราะสังคม มันตั้งค่า เอาใว้แบบนั้น นี่คือปัญหาของคำว่า " ค่านิยม "?

สรุปว่าทั้งหมดทั้งปวง มันคือความสำเร็จหรือยัง ยังมันเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น การศึกษา มันเป็นเพียงใบเบิกทางหรือใบผ่านทางเท่านั้น ความเป็นจริง การได้ลงมือทำงาน จริง ของจริง จะเป็นสิ่งที่วัดคุณภาพของคนไม่ใช่แค่ปริญญาจากสถาบันไหน แต่สังคมกลับยึดติดกับค่านิยม ทำให้ทุกคนต่างพยายามที่จะกดดันให้ลูกได้สำเร็จที่สถาบันดังดังดีดี แล้วก็หลอกหลอนกับความภูมิใจไปชั่วชีวิต ยึดติดไม่เปลี่ยนแปลง  ทั้งๆที่ความจริงมันไม่ใช่ โลกแห่งความเป็นจริงมันมากกว่านั้น  ?

อย่างที่บอกว่า ปริญญาคือใบเบิกทางไปสู่งาน คือใบผ่านเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะจบจากที่ไหน มหาลัยดังมหาลัยเทพก็ตาม ถ้าทำงานไร้ประสิทธิภาพเขาก็ไม่เอาคุณ แต่ถ้าคุณจบจากที่ไหนหรือไม่จบก็ได้ แต่มีความสามารถ เขายอมรับ คุณคือเทพตัวจริง นั่นแหละที่เขาต้องการ ?

เชื่อว่า เพราะค่านิยม เล่นเส้นเล่นสาย เราจะเห็นการคัดเลือกเข้ารับราชการ ต้องมีสายมีสี มีชื่อมีพวกมีพ้องเล่นพรรคเล่นพวกกัน แต่ทำงานห่วยแตก นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาจริงๆแม้การคัดคนเข้าเรียน ก็มากันตามสาย มีพวกพ้อง เราจะเห็นง่ายๆ สายใครสายมัน สายข้าราชการ สายหมอ สายตำรวจ สายทหาร เขาทำช่องทางเอาใว้แล้ว ใครมีพ่อแม่อยู่สายไหนลูกจะไปสายนั้น เรื่องทำงานชั่งหัวมัน ประสิทธิภาพเดี๋ยวไปหากันทีหลัง เราจึงได้คนห่วยๆในระบบราชการมากมาย อันนี้คือเรื่องจริง?

แต่สำหรับเอกชน สมัยใหม่วัดกันที่กึ๋นและประสิทธิภาพ จบจากมหาลัยเทพ มหาลัยดังมาทำงานได้สองสามเดือน โน่น มาทางไหนกลับไปทางนั้น เด็กมันไม่สู้งาน เด็กอาจคิดไปว่ามันคือเทพไปแล้ว เพราะการหล่อหลอม เป่าหูจากพ่อแม่อาจารย์ ต้องงานแบบเทพฉันถึงจะทำ แต่เด็กที่จบมหาลัยธรรมดา ที่ถูกฝึกฝนมาแบบมีน้ำอดน้ำทน ไม่เกี่ยงงานพร้อมเรียนรู้ ยังไงก็ได้ ทำงานมันลูกเดียว อย่างเด็กสายคอม รู้มั้ยเขาทำงานมากกว่าข้าราชการสองเท่า 8โมงเช้ายันเที่ยงคืน เงินเดือนเท่าเดิม ถามว่าลูกเทพ ทั้งหลายทำได้มั้ย ไม่มีทาง "ร้องกระจองอแงขี้มูกโป่งกลับบ้าน ฟ้องแม่" นี่คือเรื่องจริง ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะจบจากไหนไม่สำคัญอย่าไปยึดติดยึดมั่น มันวัดกันตอนทำงาน นี่แหละของจริง ?

และเด็กหรือพ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่ต้องเสียใจ แม้ลูกไม่ได้จบจากมหาลัยเทพ ไม่ว่าจบจากที่ไหน ขอให้ตั้งใจทำงานสู้งาน โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ค่านิยม บ้าๆบอๆที่จะมายึดติดกับใบปริญญาสถาบัน มันหมดไปแล้ว แค่เรียนจบ รับปริญญา ไม่ใช่ความสำเร็จในชีวิต มันเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น ชีวิตจริงเราต้องเรียนรู้ในการทำงาน อีกมากมาย และการเรียนรู้ สู้งาน ขยันพัฒนาตัวเอง นี่คือสิ่งที่โลกยุคใหม่ต้องการ ไม่ใช่เพ้อฝันยึดติดกับความคิดที่ล้าหลัง บูชาเพียง ค่านิยม เพียงแค่ชื่อเสียงสถาบันแบบเดิมๆ ไม่พัฒนา  ?








NAPOLEON HIN.


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กำเนิด SODA

"คนที่ยอมแพ้ไม่เคยชนะ คนชนะไม่เคยยอมแพ้ "

Knight Rider (kitt)